วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 11

วันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม 2560

 (เวลา 08.30-12.30)




ความรู้ที่ได้รับ


การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรม
เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ



ปรับพฤติกรรมและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กพิเศษ เพื่อให้เด็กพิเศษทำสิ่งเหล่านี้ได้ คือ 

-เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน
-ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด 
-เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach)

การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
1. เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด 
2. ทำให้เกิดผลดีในระยะยาว 
3. เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
4. แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล(Individualized Education Program; IEP)
5. โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน

การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
1. การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน (Activity of Daily Living Training)
2.การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
3. การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story)

การบำบัดทางเลือก
1. การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
2. ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy) (นิยมใช้มาก)
3. ดนตรีบำบัด (Music Therapy) (นิยมใช้มาก)
4. การฝังเข็ม (Acupuncture)
5. การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)

กิจกรรมือของฉัน
เป็นกิจกรรมที่ให้จินตนาการวาดภาพมือของตัวเอง โดยเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด จากนั้นให้เพื่อนลองถ่ายว่าภาพนั้นเป็นมือของใคร 
จากกิจกรรมนี้เสมือนการสังเกตพฤติกรรมเด็ก ถ้าเราเห็นพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมาควรรีบจดบันทึกให้ละเอียด

การสื่อความหมายทดแทน 

(Augmentative and Alternative Communication ; AAC)


-การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) 
-โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS) (ใช้มากที่สุด)
-เครื่องโอภา (Communication Devices)  
-โปรแกรมปราศรัย
ตัวอย่าง โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (PECS)

PECS คือ บัตรภาพที่ให้เด็กเลือกนำมาต่อกันให้เป็นประโยค ตามความต้องการของเด็ก และยื่นให้กับคนที่ต้องการสื่อสาร
ส่วนใหญ่ ใช้กับเด็ก ออทิสติก



สีน้ำเงิน คือ อัลบัมบัตรภาพที่ให้เด็กเลือก
สีแดง คือ ประโยคที่เด็กต้องการสื่อสาร








การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
ได้รับความรู้วิธีการปรับพฤติกรรมของเด็กพิเศษที่มีวิธีหลากหลาย และนำไปใช้ โดยอาจเลือกใช้ได้ถูกต้องในสถานการณ์จริง 
ประเมินตนเอง 
มาเรียนตรงเวลา จดบันทึกเพิ่มเติม

ประเมินเพื่อน 
เพื่อนตั้งใจฟังอาจารย์ มีการถามอาจารย์เมื่อมีข้อสงสัย

ประเมินอาจารย์ 
อาจารย์เตรียมการสอนได้ดี ให้คำปรึกษาในเรื่องต่างๆ บรรยายกาศในห้องสบาย สนุกสนาน

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 10

วันศุกร์ ที่ 17 มีนาคม 2560

 (เวลา 08.30-12.30)




ความรู้ที่ได้รับ


การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย


รูปแบบการจัดการศึกษา
1. การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
2. การศึกษาพิเศษ (Special Education)
3. การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
4. การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education)

การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
 เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
การศึกษาแบบเรียนร่วม หมายถึง การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไปมีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกันใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน และเป็นความร่วมมือระหว่างครูปฐมวัยกับครูศึกษาพิเศษ
*โรงเรียนเลือกเด็ก ส่วนใหญ่ใช้ในประเทศไทยมากที่สุด*

การศึกษาแบบเรียนร่วม แบ่งออกเป็น 2 ปรเภท

1. การเรียนร่วมบางเวลา (Integration) 
เป็นการจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ และเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้ 

2. การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
เป็นการจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และจะทำให้เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การศึกษาสำหรับทุกคน โรงเรียนรับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล (เด็กเลือกโรงเรียน)

Wilson ให้นิยามการศึกษาแบบเรียนรวมไว้ว่า 
-การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก 
-การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
-กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
-เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง

 "Inclusive Education is Education for all, 

It involves receiving people 
at the beginning of their education, 
with provision of additional services 
needed by each individual"

เด็กทุกคนควรได้รับการศึกษาเบื้องต้น และเด็กพิเศษควรได้รับการส่งเสริมรายบุคคล


สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม

1. เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

2.เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

3. เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน(Education for All)

4. การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 

5. เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก

6. เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน 

7. ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก


ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย


1. ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
2. ครูสามารถ “สอนได้”
3. เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด


กิจกรรมวาดภาพดอกบัว




จากกิจกรรมวาดภาพดอกบัว โดยให้วาดดอกบัวที่เก็บรายละเอียดให้มากที่สุด เมื่อวาดเสร็จเขียนบรรยายสิ่งที่เราเห็นในภาพ เปรียบได้กับเราสังเกตเด็ก ควรสังเกตให้ละเอียดที่สุด ถูกต้อง และครบถ้วนที่สุด 


บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม

1. ครูไม่ควรวินิจฉัย

การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง อาจอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ ควรให้แพทย์วินิจฉัย

2. ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก

-เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
-ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
-เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

3. ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ

-พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
-พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
-ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
-ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
-ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา

4. ครูทำอะไรบ้าง

-ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
-ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
-สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
-จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ

5.สังเกตอย่างมีระบบ

-ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
-ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
-ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา

6. การตรวจสอบ

-จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
-เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
-บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ

7. ข้อควรระวังในการปฏิบัติ

-ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
-ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
-พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป

8. การบันทึกการสังเกต

-การนับอย่างง่ายๆ
-การบันทึกต่อเนื่อง
-การบันทึกไม่ต่อเนื่อง

ตัวอย่างแบบสังเกต






9. การนับอย่างง่ายๆ

-นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
-กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
-ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม

10. การบันทึกต่อเนื่อง

-ให้รายละเอียดได้มาก
-เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
-โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ


ตัวอย่างการบันทึกต่อเนื่อง


ตัวอย่างการบันทึกเป็นคำๆ





11. การบันทึกไม่ต่อเนื่อง

-บันทึกลงบัตรเล็กๆ
-เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง

ตัวอย่างการบันทึกไม่ต่อเนื่อง






11. การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป

-ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
-พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ

12. การตัดสินใจ

-ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
-พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่


การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
เข้าใจถึงหลักการเรียนร่วม และการเรียนรวมมากขึ้น ที่สำคัญที่รู้หน้าที่บทบาทของครูในการดูแลเด็กพิเศษ สามารถนำไปปรับใช่ได้ 
ประเมินตนเอง 
ตั้งใจสอบ จดบันทึกเนื้อหาสำคัญเพิ่มเติม

ประเมินเพื่อน 
เพื่อนตั้งใจเรียน ออกมาแสดงบทบาทสมมติได้อย่างสมจริง มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์

ประเมินอาจารย์ 
อาจารย์สอนเข้าใจง่าย ใช้สื่อการสอนที่กระชับ ทำให้เราเข้าใจ ใจความสำคัญของเรื่องนั้นๆ
มากขึ้น 

วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 9

วันศุกร์ ที่ 10 มีนาคม 2560

 (เวลา 08.30-12.30)




ความรู้ที่ได้รับ

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ 
(Children with Behavioral and Emotional Disorders)



เป็นเด็กที่มีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติ แสดงออกถึงความต้องการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆ ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
1. ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็กมีนิสัยขี้กลัว
2. ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป
3. ปัญหาทางสุขภาพ และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต

การจำแนกประเภทตามกลุ่มอาการ แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ดังนี้  

1.ด้านความประพฤติ (Conduct Disorders)
1. ทำร้ายผู้อื่น ทำลายสิ่งของ ลักทรัพย์
2. ฉุนเฉียวง่าย หุนหันพลันแล่น และเกรี้ยวกราด
3. กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ชอบโกหก ชอบโทษผู้อื่น
4. เอะอะและหยาบคาย
5. หนีเรียน รวมถึงหนีออกจากบ้าน
6. ใช้สารเสพติด
7. หมกมุ่นในกิจกรรมทางเพศ

ตัวอย่างผลงานเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์







2. ด้านความตั้งใจและสมาธิ (Attention and Concentration) 

1. จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น (Short attention span) อาจไม่เกิน 20 วินาที
2. ถูกสิ่งต่างๆ รอบตัวดึงความสนใจได้ตลอดเวลา
3. งัวเงีย ไม่แสดงความสนใจใดๆ รวมถึงมีท่าทางเหมือนไม่ฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด

สมาธิสั้น (Attention Deficit)
มีลักษณะกระวนกระวาย ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ หยุกหยิกไปมา พูดคุยตลอดเวลา มักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ

การถอนตัวหรือล้มเลิก (Withdrawal)
หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น เฉื่อยชา และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา ขาดความมั่นใจ ขี้อาย ขี้กลัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก

ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย(Function Disorder)
-ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน (Eating Disorder)
-การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary Regurgitation)
-การปฏิเสธที่จะรับประทาน
-รับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้
-โรคอ้วน (Obesity)
-ความผิดปกติของการขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะ (Elimination Disorder)

ภาวะความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง
1. ขาดเหตุผลในการคิด
2. อาการหลงผิด (Delusion)
3. อาการประสาทหลอน (Hallucination)
4. พฤติกรรมการทำร้ายตัวเอง

สาเหตุเกิดจาก 2 ปัจจัย ได้แก่
1. ปัจจัยทางชีวภาพ (Biology) คือ เกิดจากตัวเด็กเอง
2. ปัจจัยทางจิตสังคม (Psychosocial) คือ สภาพแวดล้อม

ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก

-ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
-รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้ 
-มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
-มีความคับข้องใจ มีความเก็บกดอารมณ์
-แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 
-มีความหวาดกลัว


เด็กสมาธิสั้น 

(Children with Attention Deficit Hyperactivity Disorders)




สมาธิสั้น หรือ มีชื่อย่อ ว่า ADHD เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวช มีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ 

 1. Inattentiveness (สมาธิสั้น) 

ลักษณะ 

-ทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก ไม่มีสมาธิ
-ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นานเพียงพอ
-มักใจลอยหรือเหม่อลอยง่าย
-เด็กเล็กๆจะเล่นอะไรได้ไม่นาน เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ
-เด็กโตมักทำงานไม่เสร็จตามที่สั่ง ทำงานตกหล่น ไม่ครบ ไม่ละเอียด

2. Hyperactivity (ซนอยู่ไม่นิ่ง)

ลักษณะ

-ซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง ซนมาก
-เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
-เหลียวซ้ายแลขวา
-ยุกยิก แกะโน่นเกานี่
-อยู่ไม่สุข ปีนป่าย
-นั่งไม่ติดที่
-ชอบคุยส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง

3.Impulsiveness (หุนหันพลันแล่น)

ลักษณะ

-ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม
-ขาดความยับยั้งชั่งใจ
-ไม่อดทนต่อการรอคอย หรือกฎระเบียบ
-ไม่อยู่ในกติกา
-ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง
-พูดโพล่ง ทะลุกลางปล้อง
-ไม่รอคอยให้คนอื่นพูดจบก่อน ชอบมาสอดแทรกเวลาคนอื่นคุยกัน

สาเหตุของการเกิดสมาธิสั้น

1. ความผิดปกติของสารเคมีบางชนิดในสมอง เช่น โดปามีน (dopamine) นอร์อิพิเนฟริน
(norepinephrine)

2. ความผิดปกติในการทำงานของวงจรที่ควบคุมสมาธิ และการตื่นตัว อยู่ที่สมองส่วนหน้า(frontal cortex)

3. พันธุกรรม

4. สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสมาธิสั้น
สมาธิสั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกผิดวิธี ตามใจมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยจนเกินไปและไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ แต่ปัญหาอยู่ที่การทำงานของสมองที่ควบคุมเรื่องสมาธิของเด็ก







ยารักษาโรคสมาธิสั้นในประเทศไทยที่นิยมใช้กัน มี 2 กลุ่มหลักๆ คือ


ส่วนใหญ่ที่ใช้กันมากที่สุด คือ ยี่ห้อ Rittalin


ความแตกต่างระหว่าง Hyperactivity และ สมาธิสั้น

Hyperactivity  มีเพียง 1 อาการ คือ เด็กอยู่ไม่สุข เท่านั้น

สมาธิสั้น  มีทั้ง 3 อาการร่วมด้วยกัน คือ ขาดสมาธิ/ซนอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่น



เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps) 


เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
เช่น 
       -เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
       -เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
       -เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด

การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
จากที่เรียนเกี่ยวกับเด็กพิเศษที่มีความบกพร่องในด้านต่างๆ ทำให้เรามีความรู้เพิ่มมากขึ้น สามารถนำไปใช้ในการสังเกตเด็กได้ตอนที่เราสอน ว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร และคอยช่วยเหลือเขาได้ถูกต้อง 
ประเมินตนเอง 
เข้าใจในเนื้อหา มาเรียนตรงเวลา จดบันทึกเพิ่มเติม

ประเมินเพื่อน 
เพื่อนตั้งใจเรียน ออกมาแสดงบทบาทสมมติได้อย่างสมจริง มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์

ประเมินอาจารย์ 
เนื้อหาที่อาจารย์นำมาสอน เป็นเนื้อหาที่สรุปมาแล้ว ทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้น อาจารย์มีการนำภาพและเหตุการณ์จริงมาเล่าให้ฟัง ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น และบรรยายกาศในห้องอบอุ่นเป็นกันเอง